พระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จ.พิษณุโลก พระคู่บ้านคู่เมือง (หน้าตัก5นิ้ว สูง32ซม.)
ตำนานพระพุทธชินราชตำนานการสร้างพระพุทธชินราชปรากฏหลักฐานทางโบราณคดีว่า พระมหาธรรมราชาที่ (พญาลิไทย) รัชกาลที่ 5 แห่งราชวงศ์พระรวง กรุงสุโขทัย โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ.1900 ตามพงศาวดารเหนือ ได้กล่าวเรื่องการสร้างพระพุทธชินราช พระพุทธชินสีห์ และพระศรีศาสดา เจือนิยายไว้ มีใจความว่า เมื่อพระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎกได้โปรดให้สร้าง เมืองพิษณุโลก เสร็จเรียบร้อยแล้วก็ตรัสให้สร้างวัดพระรัตนมหาธาตุ มีพระมหาธาตุ รูปปรางค์ สูง 8 วา และ พระวิหารทิศ กับระเบียงรอบพระมหาธาตุ ทั้ง 4 ทิศ โปรดให้ช่างชาวชะเลียง (สวรรคโลก) เชียงแสน และหริภุณชัย(ลำพูน) ร่วมมือกันสร้าง พระพุทธรูป หล่อด้วยทองสัมฤทธฺ์ 3 องค์ สำหรับประดิษฐานในพระวิหารทิศ ได้เริ่มทำพิธีเททองหล่อ ณ วันพฤหัสบดี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4 ปีเถาะ สัปตศกจุลศักราช 317 (พ.ศ.1498) เมื่อกะเทาะหุ่นออกแล้ว ทองคงแล่น ติดเป็นองค์พระบริบูรณ์เพียง 2 องค์ คือ พระพุทธชินสีห์ กับพระศรีศาสดา ส่วนพระพุทธชิราชทองไม่แล่นติดเต็มพระองค์ ต้องทำพิธีหล่อต่อมาอีก 3 ครั้งก็ยังไม่สำเร็จ ครั้งหลังสุด พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฎก ต้องตั้งสัษจาธิษฐาน แล้วทำพิธีเททองหล่อเมื่อ วันพฤหัสบดี ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 6 ปีมะเส็ง นพศกจุศักราช 319 (พ.ศ.1500) จึงสำเร็จเป็นองค์พระบริบูรณ์ในการหล่อครั้งหลังสุดนี้ปรากฏว่ามีปะขาวผู้หนึ่งจะมาแต่ใด ไม่มีใครทราบได้มาช่วยปั้นหุ่น และเททองหล่อพระด้วยเมื่อสร็จพิธีหล่อพระแล้ว ปะขาวก็ออกเดินทาง ไปทางเหนือเมืองพอถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งก็หายตัวไปไม่มีผู้ ใดพบเห็นอีก ดังนั้น จึงเข้าใจกันว่าปะขาว ผู้นั้นคือ เทวดา แปลงตัวมาช่วยหล่อพระพุทธชินราชจึงได้พุทธลักษณะงดงามยิ่งนัก เลยเป็นเหตุให้เกิด ความเลื่อมใสในพระพุทธรูปองค์นี้ยิ่งขึ้น ส่วนหมู่บ้านที่ปะขาวไปหายตัวนั้น ก็เลยได้นามในภายหลังว่า บ้านปะขาวหาย หรือตาผ้าขาวหาย มาจนทุกวันนี้(พระพุทธชินราช ในพระราชนิพนธ์ของ ร.5 พ.ศ.2460) พระวิหารพระพุทธชินราช เป็นวิหารเก้าห้อง เช่นเดียวกันกับวิหารพระอัฏฐารส แต่ย่อมกว่าเล็กน้อย ออกแบบแผนผังเป็นพิเศษเพื่อเชิดชูพระพุทธชินราชให้เด่นขึ้นพื้นวิหารได้ลดระดลงทีละน้อยเมื่อมองจากภายนอกพระวิหารองค์พระจะอยู่ในระดับสายตา พอดี มีหน้ามุกโถง ลักษณะสถาปัตยกรรมเป็นโครงสร้างเครื่องประดุ แบบสุโขทัย หลังคาซ้อน สามชั้น ชั้นบนสุดอยู่ตรงช่วง พระประธาน และมี หลังคา ปีกนกสองชั้นเลยออกมา สี่ชั้น หน้าบันของมุกโถงเป็นแบบลูกฟักหน้าพรหมหรือ จั่วภควัม ชั้นล่างสุดจำหลักไม้ เป็นรูป เทพพนม ช่วงละองค์ ล้อมรอบด้วย ลาย ดอกไม้ประกอบ และชั้นบนสุดตรงหน้าพรหมแกพสลักเป็นรูปแจกันดอกไม้ มีเทพยดายืประนมมือ อยู่ทั้งสองข้าง หน้าบันและลวดลายลงรักปิดทองทั้งหมด ปั้นลมมีลักษณะเส้นอ่อนโค้งน้อย ๆ ประดับด้วยใบ ระกา แบบสุโขทัย มีหลังคาต่ำเพราะมีช่วง ปีกนก ถึงสี่ชั้น ผนังจึงต่ำมาก หน้าต่าง เป็นแบบลูกตั้ง ด้านละเจ็ดบาน ปิดเปิดได้ อยู่ระหว่างเสาแบน แต่ละบานเจราะช่องลม และช่องแสงสว่าง บานละ หกช่อง เป็นช่องเล็ก ๆ แสงสว่างผ่านเข้าออกได้น้อยมาก พื้นผนังภายในระหว่างช่วงหน้าต่าง มีงานจิตกรรมฝาผนังทุกช่อง แต่ละช่องมีรูป ทวยเทพ พับเพียบประนมกรกลุ่มละสามองค์ หันหน้าสู่พระประธาน พื้นหลัง ของเทพยดาเป็นลาย ดอกไม้ร่วง ยังคงมีสีสดใสงดงาม สองทางเข้า มีจิตกรรม ฝาผนังเรื่องเวสสันดอนชาดก และพุทธประวัติ อยู่ทางซ้ายและขวามตามลำดับ ส่วนเบื้องหลังองค์พระพุทธชินราช นั้นใช้สีดำทา เป็นพื้นมีรูปเทพยดาประนมกร อยู่ข้างละองค์ประดับด้วยลายดอกไม้ร่วงสีทองระยะห่างกันพองามมภายใน พระวิหาร มีเสาร่วมในประธาน สองแถวเป็นเสากลม ขนาดใหญ่แถวละเจ็ดต้น รับบชายคาปีกนก อีกสองแถวเป็นเสากลมขนาดเล็กอีกแถว ๆ ละเจ็ดต้น รวมเสาทั้งหมด 28 ต้น เสาแต่ละต้นเขียนลายทองประดับพื้นสีดำ เป็นลายพุ่มทรงข้าวบิณฑ์ก้านแย่ง ช่วงคอเสาและเชิงเสาเขียนลายกรุยเชิงอย่างสวยงาม มีกลีบบัวซ้อน สลับกันห้าชั้น ลงรักปิดทองแวววาวรองรับขื่อและโครงสร้างแบบเครื่องประดุ ซี่งเป็นเครื่องบน ขื่อ ทาด้วยสีชาด ตอนหัวและท้ายขื่อ เขียนประดับ ด้วยลายกรุยเชิง ตรงเสาและขื่อ ช่วงหน้าพุทธชินราช มีลายรวงผึ้ง และที่เสามีสลายสาหร่ายหัวนาคทั้งสองด้าน (พระพุทธชินราช ในพระราชนิพนธ์ ของ ร.5 พ.ศ.2460)